Dear Tokyo

Voyage

  • Pen: ธนวัฒน์ พรหมปากดี
  • Lens: ธนวัฒน์ พรหมปากดี

Posted: 21 September 2017

Dear Tokyo
เมืองเหงาที่เราตกหลุมรัก



 

    เชื่อว่า โตเกียว น่าจะเป็นเมืองในฝันของใครหลาย ๆ คน แน่นอนผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะต้องไปเยือนเมืองนี้ให้ได้ ผมเชื่อว่าความเป็นญี่ปุ่นได้แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของเรามาตั้งแต่จำความได้ เพราะถ้าเป็นวัยรุ่นในยุค 90 – 00 แล้วล่ะก็ ทุกเช้าวันเสาร์จะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า (เช้ากว่าตื่นไปโรงเรียน) เพื่อมาเปิดโทรทัศน์รอดูช่อง 9 โมเดิร์นไนน์การ์ตูน จนตัวการ์ตูนโดราเอมอนจะกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศญี่ปุ่นในสายตาของคนไทยอยู่แล้ว 

    ภาพในจินตนาการของใครหลาย ๆ คน รวมถึงผมด้วยเกี่ยวกับเมืองโตเกียว คงจะไม่พ้นเรื่องความสะอาด ความทันสมัย ความเป็นระเบียบวินัย ทุกอย่างต้องเป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ แน่นอนครับบ้านเมืองเค้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะลงรันเวย์ที่สนามบินนานาชาตินาริตะ และประตูทางออกเครื่องบินได้เปิดออก ภาพที่ผมเห็นคือพนักงานของสายการบินประมาณ 10 กว่าคนกำลังโค้งคำนับต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยประโยคอะไรซักอย่างซึ่งผมไม่ออกเป็นภาษาญี่ปุ่นรัว ๆ เรียกคะแนนความประทับใจกันตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว 






 

    การจะเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินนาริตะ ก็มีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย วิธีที่เป็นที่นิยมของเหล่าบรรดาแบ็คแพ็คเกอร์ก็คงไม่พ้นการนั่งรถไฟ เพราะราคาถูกสุด และสะดวกสุดด้วยในความคิดของผม รถไฟใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ จากสนามบินไปถึงใจกลางเมืองที่สถานี Shinjuku ซึ่งเป็นสถานีใหญ่สถานีหนึ่งในโตเกียว วินาทีที่ก้าวเท้าออกมาจากโบกี้รถไฟพร้อมกับข้าวของที่พะรุงพะรัง ผมต้องเจอกับมวลมหาประชากรนับล้านเดินกันขวักไขว่ นี่ผมถึงโตเกียวจริง ๆ แล้วใช่มั้ยนี่ 


    จากตรงนี้ผมต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟเพื่อนั่งไปสถานีที่ใกล้ที่พักมากที่สุดนั่นก็คือสถานี Ueno ซึ่งเป็นสถานีใหญ่พอ ๆ กับ Shinjuku เลย เราจองที่พักผ่านทาง AirBNB เนื่องจากไปกันหลายคนหารค่าห้องแล้วจะคุ้มกว่า อีกอย่างคือเราจะได้สัมผัสถึงความเป็นอยู่แบบญี่ปุ่นจริงๆ ด้วย ห้องพักที่เราเช่าจะเป็นลักษณะเหมือนคอนโด มีเตียงสองเตียง มีครัวให้ทำอาหาร และอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ครบครัน แถมยังมีอ่างน้ำร้อนเล็ก ๆ ให้แช่ด้วย จัดแจงของใช้เสื้อผ้าอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาออกไปดูบ้านดูเมืองของเค้าสักที




 

    เนื่องจากที่พักของเราอยู่ในย่านอูเอโนะ เราเลยประเดิมที่แรกเป็น Ueno Park สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโตเกียว ที่นี่จะมีการรวบรวมพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เยอะมาก พร้อมกับจะมีลานกว้างๆ ไว้ให้ได้ชมการแสดงสตรีทโชว์ สิ่งที่น่าสนใจของที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่ได้รวบรวมความเป็นมาของประเทศญี่ปุ่นไว้ในนี้ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวประวัติศาสตร์ห้ามพลาดที่นี่เลยทีเดียว 

    เวลาที่นี่จะเร็วกว่าที่บ้านเรา 2 ชั่วโมง และช่วงที่ผมไปนั้นเป็นช่วงที่พระอาทิตย์ตกเร็วมาก เหลือบมองนาฬิกาแล้วยังไม่ถึงหกโมงเย็นเลยแต่ฟ้ามืดราวกับเที่ยงคืนของบ้านเราซะแล้ว ทำให้เราอดดูวิวพระอาทิตย์ตกบน Tokyo Sky Tree เลย เพราะกว่าเราจะได้ขึ้นไปจุดชมวิวฟ้าก็มืดซะแล้ว แต่ภาพวิวรอบเมืองโตเกียวแบบ 360 องศาที่เราเห็น จะเป็นแสงไฟระยิบระยับจากตึกรามบ้านช่อง เหมือนกับการชมท้องฟ้าจำลอง แต่ว่าเป็นมองลงไปข้างล่างเท่านั้นเอง



 
   เรามีเวลาอยู่ในโตเกียวทั้งหมดสี่คืนห้าวัน แต่แค่วันแรกผ่านไปก็เล่นเอาเราเหนื่อยจนหมดแรงเลย แต่เราก็บ่ยั่น เช้าวันที่สองเราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าเพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถบัสไปดูภูเขาไฟฟูจิ แต่ด้วยความเอื่อยเฉื่อย นิสัยต๊ะต่อนยอนแบบคนเชียงใหม่ของพวกเรา ทำให้เราคลาดรถบัสที่ซื้อตั๋วไว้แล้วเพียง 3 นาที พอไปถึงภาพที่เห็นคือรถบัสเคลื่อนออกไปแล้ว ทำให้เราต้องเปลี่ยนแพลน โดยไปใช้รถไฟฟ้าแทน บอกเลยครับการมาเที่ยวญี่ปุ่นต่อให้ภาษาอังกฤษโทอิค 990 ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตง่ายเลย เพราะสถานีรถไฟบางสถานีคือไม่มีป้ายภาษาอังกฤษเลย แถมพนักงานยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้อีก (โถชีวิต) แต่เราก็ยังดั้นด้นมาถึงหมู่บ้านฟูจิยามะจนได้ แม้จะทุลักทุเลหน่อย แต่พอมาถึงคือโคตรหายเหนื่อยเลย 

    บรรยากาศที่นี่เป็นเหมือนชนบทของเขา แต่บรรยากาศน่าอยู่มาก ทุกอย่างดูเป็นระบบระเบียบ สะอาดตา อากาศก็สดชื่นมาก นี่มันสวรรค์ชัด ๆ ก่อนจะมาดูภูเขาไฟฟูจิเราต้องเช็คสภาพอากาศให้ดีก่อนนะครับ เพราะถ้าวันไหนฟ้าไม่เปิด เราก็อดเห็น ฟูจิซัง แน่นอน ซึ่งเป็นโชคร้ายของเราที่ดันมาวันฟ้าไม่เปิด โอ้ววว เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง มาญี่ปุ่นทั้งทีดันไม่ได้เห็นสัญลักษณ์ของประเทศเขาเลย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ซึบซับบรรยากาศจากที่นี่ทดแทนก็โอเคแล้ว 


 

    จริง ๆ ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำเยอะมากนะ ทั้งถีบเรือเป็ด ขึ้นกระเช้าลอยฟ้า หรือถ้าใครมีเวลาเยอะหน่อยก็เช่าจักรยานปั่นรอบทะเลสาบก็ได้ครับ แต่เรามีเวลาจำกัดเลยขอแค่เดินชิลล์ๆ ซื้อของฝากก็หมดเวลาไปค่อนวัน

    กลับเข้ามาในเมืองศิวิไลซ์ของเราต่อกันเลยดีกว่า คืนนี้เรากะจะไปแฮงก์เอ้าท์กันที่ย่าน Shinjuku Chome เป็นแหล่งรวมผับบาร์ของเหล่าบรรดา LBGT ของที่นี่ บรรยากาศแปลกตาพอสมควรเพราะผับบาร์ที่นี่จะเป็นอารมณ์แบบร้านปิดหมดเลย ตอนผมมาผมก็งงว่า ตกลงเปิดรึป่าว บรรยากาศคือเงียบมาก ไม่มีเสียงเพลงอึกทึกโครมครามอะไรเลย แต่พอลองเปิดประตูเข้าไปดูเท่านั้นแหละถึงบางอ้อเลย คือผับที่นี่เค้าจะเก็บเสียงหมดทุกที่เลย ส่วนใหญ่จะอยู่ลงไปชั้นใต้ดิน คือต้องเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปอีกที แต่วันที่เราไปกันเป็นวันอาทิตย์คนก็เลยค่อนข้างจะบางตา แต่บรรยากาศก็ยังสนุกสนานเฮฮา การจะมาแฮงก์เอ้าท์ที่นี่อย่าดื่มเพลินจนลืมเวลาล่ะครับ เพราะรถไฟเที่ยวสุดท้ายจะสิ้นสุดตอนเวลาเที่ยงคืน ถ้าพลาดรถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้วล่ะก็ต้องเจอกับแท็กซี่ราคามหาโหด เรียกได้ว่าเปิดโรงแรมแคปซูลนอนยังถูกกว่า




 

    อีกหนึ่งสถานที่ที่เรามาถึงโตเกียวแล้วจะไม่ไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ แถ่น แท่น แท๊นนน สวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ ดิสนีย์แลนด์ของที่นี่จะแบ่งออกเป็น 2 ปาร์คด้วยกันคือ ดิสนีย์แลนด์ กับ ดิสนีย์ซี ถ้าใครชอบแนวฟรุ้งฟริ้งน่ารัก ๆ ก็เข้าดิสนีย์แลนด์เลย ส่วนใครที่ชอบเครื่องเล่นสนุกๆ วัยรุ่นๆ หน่อยก็เลือกเข้าดิสนีย์ซี ด้วยเวลาอันจำกัดผมต้องเลือกเข้าได้แค่ปาร์คเดียว ซึ่งผมเลือกโตเกียวดิสนีย์ซี คนญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่เป็นตัวของตัวเองสูง แน่นอนครับภาพที่ผมเห็นภายในปาร์คคือแต่ละคนที่มาเที่ยวต่างจัดเต็มทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของตัวการ์ตูนเลยล่ะ 

    เครื่องเล่นที่นี่จะแบ่งออกเป็นโซน ๆ แต่โซนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเพิ่งจะเปิดใหม่ด้วยคือโซนของ Toy Story ซึ่งมีเครื่องเล่นที่เป็นไฮไลท์ก็จะเป็นเครื่องเล่นที่ใช้ VDO สามมิติ จริงๆ เครื่องเล่นในปาร์คยังมีอีกเยอะมาก ผมว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันถึงจะเล่นได้ครบ แต่เสียดายผมมีเวลาแค่วันเดียวเลยต้องเลือกเล่นเฉพาะที่เป็นไฮไลท์เท่านั้น

    มาถึงช่วงสุดท้ายทริปกันแล้ว เนื่องจากเราไปในเวลาที่ค่อนข้างจะจำกัดมากเลยทำให้ได้เลือกไปแค่บางสถานที่ ซึ่งยังเหลืออีกหลายที่มากที่อยากไป เอาจริงๆ ใครจะมาทริปเดียวแล้วเที่ยวทั่วโตเกียวได้ เมืองใหญ่ขนาดนี้ แต่ก็เอาน่าเก็บไว้มาอีกครั้งในทริปต่อไป (จะเมื่อไหร่น้อ) แต่สิ่งที่เราได้จากการเดินทางในครั้งนี้ทั้งความทรงจำดีๆ บรรยากาศสวย ๆ เรื่องราวทั้งดีและแย่ที่เราเจอมา มันก็ล้วนต่างเป็นประสบการณ์ดีๆ ในเราได้ทั้งนั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเวลานักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโตเกียวแล้วถึงจะอยากกลับไปอีกเรื่อย ๆ ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่า ยังไงก็ต้องมาเที่ยวที่นี่อีกให้ได้...Goodbye Tokyo

 

ธนวัฒน์ พรหมปากดี
นักศึกษา, 23 ปี
ผู้ชนะรางวัลพิเศษจาก ThaiAirAsia
ในการประกวดเขียนคอลัมน์ FINE VOYAGE โปรเจ็กต์ YOUR FINE DAE